ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน ดังนั้นสภาพอากาศโดยทั่วไปค่อนข้างร้อนตลอดทั้งปี เราจึงคุ้นเคยกับสภาพอากาศที่ร้อน ยิ่งในฤดูร้อนช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน อากาศจะร้อนมากเป็นพิเศษ และเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดในแต่ละปี ผู้ปฏิบัติงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่มีแหล่งกำเนิดความร้อนจากเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตที่มีความร้อน ยิ่งต้องเผชิญกับความร้อนมากขึ้นอีก และอาจเป็นอันตรายเนื่องจากความร้อนในสภาวะการทำงานได้ ประเภทของอุตสาหกรรมที่มีความร้อนสูง เช่น อุตสาหกรรมหล่อหลอมโลหะและอโลหะ อุตสาหกรรมผลิตเซรามิค อุตสาหกรรมผลิตเครื่องแก้ว อุตสาหกรรมผลิตผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรมเบเกอรี่ อุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง เป็นต้น
กลไกควบคุมความร้อน
การเจ็บป่วยเนื่องจากความร้อนเกิดขึ้นเมื่อกลไกการระบายความร้อนภายในร่างกายของคนเราทํางานไม่ถูกต้องตามหน้าที่จากการที่เราทำงานในที่มีอากาศร้อนหรือได้รับความร้อนโดยตรง ทําให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น ลมแดด หน้ามืด อ่อนเพลีย หมดสติ ซึ่งภายในสมองของเราที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) จะทําหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและกลไกการไหลเวียนของของเหลว การระบายความร้อน เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้ให้คงที่ 98 องศาฟาเรนไฮต์ (37 องศาเซลเซียส) ถ้าอุณหภูมิภายในร่างกายสูงเกินไป ไฮโปทาลามัสจะทำให้เลือดไหลเวียนออกมาที่ผิวของร่างกาย ต่อมเหงื่อจะระบายของเหลวออกมามากขึ้น เพื่อระบายความร้อน ทําให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้เลือดไหลเวียนมากขึ้นด้วย
อันตรายเนื่องจากความร้อน
การสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ การเจ็บป่วยที่พบได้มากคือการเป็นลมหมดสติ การเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น เป็นตะคริว อ่อนเพลียเพราะความร้อน เป็นต้น
ปัจจัยที่ทําให้เกิดการเจ็บป่วย
สาเหตุที่ทําให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานที่มีสภาวะแวดล้อมมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ
• มีอุณหภูมิและความชื้นสูงด้วยการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง และไม่มีการระบายอากาศหรือลมพัด
• ดื่มน้ำน้อย
• ทํางานที่ต้องใช้พลังงานมาก
• สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้น้อย
• ไม่เคยชินกับการทำงานในที่มีอากาศร้อนมาก
ลักษณะอาการที่เกิดจากความร้อน ได้แก่ ปวดหัว เวียนศีรษะ หน้ามืด อ่อนเพลีย เหงื่อออก กระหายน้ำและอาจอาเจียน
การป้องกันการเจ็บป่วยเนื่องจากความร้อน
• อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากความร้อนที่อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ และการป้องกันอันตรายจากความร้อน
• จัดให้มีนํ้าเย็นและกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานดื่มน้ำบ่อย ๆ ในระหว่างปฏิบัติงานที่มีอากาศร้อน อย่างน้อย 1 แก้ว ทุก 20 นาที
• จัดให้มีช่วงเวลาพักให้บ่อยกว่าการทำงานในสภาพปกติและบริเวณที่พักมีสภาพอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อน พร้อมจัดหาน้ำให้ดื่ม
• พิจารณาให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
• จัดหาอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติงานสัมผัสความร้อนโดยตรง
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2559 ได้กำหนดมาตรฐานระดับความร้อนที่จะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานที่ต้องทำงานในสภาวะการทำงานที่มีอุณหภูมิสูงไว้ ดังนี้
ลักษณะงาน |
การเผาผลาญพลงงานในร่างกาย |
ระดับความร้อน(WBGT) |
งานเบา |
น้อยกว่า 200 |
34 |
งานหนักปานกลาง |
200 – 350 |
32 |
งานหนัก |
มากกว่า 350 |
30 |
การป้องกันอันตรายจากความร้อน
• ต้องมีความรู้เกี่ยวกับสัญญาณหรืออาการที่จะนำไปสู่การเจ็บป่วยเนื่องจากความร้อน
• ป้องกันไม่ให้สัมผัสกับความร้อนหรือแสงแดดโดยตรง
• ดื่มน้ำมาก ๆ และบ่อย ก่อนที่จะรู้สึกกระหาย
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือคาเฟอีน
• สวมเสื้อผ้าที่มีนํ้าหนักเบา ใส่แบบหลวม และมีสีอ่อน
• หลีกเลี่ยงให้บุคคลที่มีสภาพรางกายไม่สมบูรณ์ เช่น มีความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นหวัด และมีไข้
• มีการระบายอากาศที่ดีและลดความชื้นในอากาศ
บทความโดย : ประสาท รักพาณิชสิริ