โรงพยาบาลเปรียบเสมือนโรงงานอุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งบุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลต้องทำงานสัมผัสกับความเสี่ยงหรือสิ่งคุกคามสุขภาพหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้:
1. ความเสี่ยงทางชีวภาพ
• การติดเชื้อจากเชื้อก่อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิต ที่อาจพบได้จากผู้ป่วยหรือสิ่งส่งตรวจทางการแพทย์
• การสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำลาย ที่อาจมีเชื้อก่อโรคปนเปื้อน
2. ความเสี่ยงทางกายภาพ
• การบาดเจ็บจากการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เข็มฉีดยา มีดผ่าตัด
• การสัมผัสกับรังสีจากเครื่อง X-ray หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้รังสีอื่นๆ
3. ความเสี่ยงทางเคมี
• การสัมผัสกับสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการทำงาน เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อ สารทำความสะอาด ยาเคมีบำบัด
• การสูดดมก๊าซหรือไอระเหยจากสารเคมีที่ใช้ในการปฏิบัติงาน
4. ความเสี่ยงทางการยศาสตร์
• การยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างและกล้ามเนื้อ
• การทำงานที่ต้องนั่งหรือยืนในท่าเดียวกันเป็นเวลานานๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพกระดูกและกล้ามเนื้อ
5. ความเสี่ยงทางจิตวิทยาและสังคม
• ความเครียดจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความกดดันสูง เช่น การต้องตัดสินใจรวดเร็วในการช่วยชีวิตผู้ป่วย
• การเผชิญกับสถานการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การเสียชีวิตของผู้ป่วย ความรุนแรงหรือการคุกคามจากผู้ป่วยหรือญาติ
6. ความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม
• การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดเสียงดังอย่างต่อเนื่อง
• การทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น พื้นลื่น พื้นที่แคบ
เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง
ต่อสุขภาพและเพิ่มความปลอดภัยในสถานพยาบาล
จึงจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการระบบงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในสถานพยาบาล ซึ่งมีความสำคัญมากเนื่องจากมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการ และประชาชน ดังนี้ :
1. ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บจากการทำงาน เนื่องด้วยสถานพยาบาลเป็นสถานประกอบกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ เช่น การลื่นพลัดตกหกล้ม การถูกเข็มทิ่มตำและของมีคมบาด การสัมผัสกับสารเคมีหรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่เป็นอันตราย การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน
2. ป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อก่อโรค : บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานสัมผัสกับสิ่งคุกคามทางชีวภาพ ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อก่อโรคจากผู้ป่วยหรือจากการทำงานกับสิ่งส่งตรวจที่ปนเปื้อนเชื้อก่อโรค การจัดการอาชีวอนามัยที่ดีช่วยให้มีมาตรการป้องกันการติดเชื้อ เช่น การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่เหมาะสม การล้างมืออย่างถูกวิธี และการจัดการกับของเสียอันตรายที่รัดกุม
3. ส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี: การทำงานในสถานพยาบาลอาจมีความเครียดสูงจากภาวะวิกฤติของผู้ป่วยที่มารับการรักษา ชั่วโมงการทำงานที่ไม่เหมาะสม การจัดการอาชีวอนามัยจึงควรคำนึงถึงการให้การสนับสนุนทางจิตใจแก่บุคลากร เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้น
4. สร้างสิ่งแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและเป็นระเบียบ: สถานพยาบาลที่มีการจัดการที่ดีจะมีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย และเป็นระเบียบ ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
5. การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน: การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการให้บริการที่มีคุณภาพและได้รับการรับรอง
ดังนั้น การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในสถานพยาบาลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย ส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยของบุคลากร ผู้ป่วย ประชาชน และสิ่งแวดล้อม ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
บทความโดย
นายสุวัฒน์ สุขสวัสดิ์
อาจารย์ประจำหลักสูตรอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในสถานพยาบาล
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสุขภาพ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช